การหาวิเคราะห์หาความชื้น Moisture content
ความชื้น (moisture content) เป็นค่าที่บ่งชี้ปริมาณน้ำที่มีอยู่ในอาหาร เป็นสมบัติที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของอาหาร เนื่องจาก
- ความชื้นมีผลต่อการเสื่อมเสียของอาหาร (food spoilage) โดยเฉพาะการเสื่อมเสียเนื่องจากจุลินทรีย์ (microbial spoilage) ซึ่งกระทบต่ออายุการวางจำหน่าย (shelf life) อาหารที่มีความชื้นหรือปริมาณน้ำสูงจะเป็นอาหารที่เสื่อมเสียง่าย (perishable food) เนื่องจากมีสภาวะเหมาะสมกับการเจริญของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสีย เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ และรา
- ความชื้นมีผลต่อความปลอดภัยทางอาหาร (food safety) อาหารที่มีน้ำสูงเหมาะกับการเจริญของจุลินทรีย์ก่อโรค (pathogen) และการสร้างสารพิษ (toxin) ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ รวมถึงการสร้างสารพิษของรา (mycotoxin) เช่น aflatoxin และ patulin ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
- ความชื้นมีผลต่อสมบัติทางกายภาพ และสมบัติเชิงความร้อนของอาหารด้านต่างๆ เช่น จุดหลอมเหลว จุดเดือด การนำความร้อน (thermal conductivity) ความร้อนจำเพาะ (specific heat)
- ความชื้นมีผลต่อคุณภาพทางประสาทสัมผัส ซึ่งมีผลต่อการยอมรับของอาหาร ได้แก่ เนื้อสัมผัส (texture) เช่น ความกรอบ ความหนืด (viscosity) การเกาะติดกันเป็นก้อน (caking)
- ความชื้นมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ที่มีผลกระทบทางลบต่ออาหารระหว่างการเก็บรักษา เช่น ปฏิกิริยาการเกิดสีน้ำตาล (browning reaction) ปฏิกิริยาออกซิเดชันของลิพิด (lipid oxidation)
- ความชื้นมีผลต่อการกำหนดราคาสินค้า เช่น ข้าว เมล็ดธัญพืช กำหนดราคารับซื้อผันแปรตามปริมาณความชื้น
การแสดงค่าความชื้นของอาหาร
ปริมาณความชื้น นิยมบอกเป็นเปอร์เซ็นต์มี 2 รูปแบบคือ
1. ความชื้นฐานเปียก (wet basis) เป็นค่าความชื้นที่มักใช้ในทางการค้า เป็นค่าที่ใช้บ่งชี้ความชื้นโดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน มักบอกเป็นเปอร์เซ็นต์
2. ความชื้นฐานแห้ง (dry basis) เป็นค่าที่นิยมใช้กันในการวิเคราะห์กระบวนการอบแห้ง (dehydration) เพราะช่วยให้คำนวณได้สะดวก เนื่องจากน้ำหนักแห้งของอาหารจะคงที่ อาจบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือ จำนวนกรัมของน้ำต่อจำนวนกรัมของของแข็ง (g H2O/ g solid)
การวัดความชื้นของอาหาร
น้ำที่มีอยู่ในอาหารแต่ละชนิดมีการยึดติดอยู่ในโครงสร้าง หรือโมเลกุลของสารอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารในรูปแบบ และความแข็งแรงต่างกัน ทำให้เทคนิคที่ใช้สำหรับการหาความชื้นของอาหารแต่ละชนิดแตกต่างกันไป ทั้งความยากง่าย ความซับซ้อนของอุปกรณ์ และความถูกต้องแม่นยำของค่าที่ได้ วัตถุประสงค์หลักของบทนี้จึงเป็นการแนะนำให้รู้จักวิธีการหาความชื้นในอาหารแบบต่างๆ ข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี เพื่อสามารถเลือกนำไปใช้งานได้อย่างเหมาะสม
1. การวัดความชื้นโดยตรง (direct method) เป็นการวัดปริมาณที่มีอยู่ในอาหารโดยตรง สามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่ การแยกเอาน้ำออกด้วยวิธีทางกายภาพ เช่น การอบแห้งทำให้น้ำระเหยออกไป การกลั่นแยกเอาน้ำออกจากอาหาร หรือการใช้วิธีการทางเคมี โดยการใช้สารเคมีทำปฏิกิริยากับน้ำ เป็นต้น วิธีการวัดโดยตรงเป็นการวัดที่ทำลายตัวอย่าง แต่ละวิธีจะมีความถูกต้องแตกต่างกัน วิธีที่มีการยอมรับกันทั่วไปว่ามีความถูกต้องแม่นยำสูง จะนิยมใช้เป็นค่าความชื้นมาตรฐานเพื่อใช้ปรับเทียบค่าที่ได้จากการวัดด้วยวิธีการอื่นๆ ก่อนนำค่าที่ได้ไปใช้ประโยชน์
- Karl fischer method การทำปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction)
- การวิเคราะห์ความชื้นด้วยการอบแห้ง
- การวิเคระห์ความชื้นด้วยการกลั่น (distillation) นำตัวอย่างเมล็ดพืชที่บดเป็นแป้งผสมกับตัวทำละลายโทลูอีน (toluene) แล้วนำไปต้ม น้ำจะระเหยออกมาและควบแน่นเป็นหยดน้ำ ซึ่งวัดเป็นปริมาตรและน้ำหนักได้
- การใช้รังสีอินฟราเรดหรือคลื่นไมโครเวฟ (infrared and microwave radiation) เป็นการใช้รังสีอินฟราเรดหรือคลื่นไมโครเวฟ เพื่อระเหยน้ำในแป้งที่ได้จากการบดตัวอย่างเมล็ดพืช วิธีวัดความชื้นเหล่านี้มีจุดเด่นที่ให้ผลการวัดถูกต้อง แต่จุดด้อยสำคัญคือ อุปกรณ์และเครื่องมือมีราคาแพง การใช้งานต้องเตรียมอุปกรณ์หลายชิ้น และการวัดแต่ละครั้งใช้เวลานาน
2. การวัดโดยอ้อม (indirect methods) เป็นการวัดสมบัติทางไฟฟ้าของเมล็ดพืชด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น วัดค่าความจุไฟฟ้า การวัดความชื้นโดยทางอ้อมมีจุดเด่นตรงรู้ผลเร็ว สะดวก และทำได้บ่อย จุดด้อยคือ ค่าที่ได้จากการวัดเป็นค่าโดยประมาณการ การวัดโดยอ้อมวัดได้หลายวิธีเช่นกันคือ
1). การวัดความต้านทานไฟฟ้า (resistance) อุปกรณ์วัดความต้านทานไฟฟ้าของเมล็ดพืช ทำได้โดยบรรจุเมล็ดพืชตัวอย่างลงช่องว่างระหว่างขั้วไฟฟ้าในภาชนะปิดแน่น ค่าความต้านทานไฟฟ้าที่วัดได้จะแปรเป็นค่าปริมาณความชื้น
2). ความจุไฟฟ้า (capacitance) ตัวอย่างจะถูกบรรจุในภาชนะปิด โดยผนังภาชนะทำหน้าที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าความถี่สูงออกมา การวัดวิธีนี้จำเป็นต้องใช้ตารางคาลิเบรชัน (calibration) ประกอบด้วยค่าความชื้นที่ได้จากการวัดด้วยวิธีนี้จะมีความแม่นยำมากกว่าการวัดจากค่าความต้านทานไฟฟ้า
3). ความชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity) เป็นวิธีหาค่าความชื้นในเมล็ดพืชจากการวัดความชื้นสัมพัทธ์ในช่องอากาศระหว่างเมล็ด เนื่องจากปริมาณความชื้นในเมล็ดจะทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในช่องอากาศระหว่างเมล็ดเปลี่ยนแปลง ซึ่งความถูกต้องของค่าความชื้นที่วัดได้จากวิธีนี้ขึ้นอยู่กับการกระจายตัวของความชื้น ดังนั้นการวัดด้วยวิธีนี้ต้องรอเวลานานประมาณ 1-2 ชั่วโมงเพื่อให้ความชื้นสัมพัทธ์ในช่องอากาศต่างๆ เกิดสมดุลก่อนวัดเพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้อง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
การวิเคราะห์หาความชื้น (Moisture Content) – วิธีวัดที่แม่นยำและเครื่องมือที่แนะนำสำหรับแล็บและโรงงาน
ความชื้นคืออะไร?
ความชื้น (Moisture Content) คือปริมาณน้ำที่อยู่ในวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น อาหาร ยา วัตถุดิบเคมี หรือวัสดุก่อสร้าง
การวัดความชื้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมคุณภาพในอุตสาหกรรม เนื่องจาก:
-
ส่งผลต่อ คุณภาพสินค้า
-
มีผลต่อ น้ำหนักและการจัดเก็บ
-
เกี่ยวข้องกับ การรับรองมาตรฐานและกฎหมาย (เช่น อย. หรือ GMP)
วิธีการวัดและวิเคราะห์ความชื้น
✅ 1. วิธีให้ความร้อนแบบมาตรฐาน (Gravimetric / Oven Drying Method)
-
นำตัวอย่างไปอบในตู้อบที่อุณหภูมิเฉพาะ (เช่น 105°C)
-
ชั่งน้ำหนักก่อนและหลังการอบ
-
คำนวณความชื้นจากน้ำหนักที่หายไป
ข้อดี: ค่าแม่นยำ ใช้ได้กับหลายประเภทตัวอย่าง
ข้อจำกัด: ใช้เวลานาน (2–4 ชม.) และต้องใช้เครื่องชั่งความละเอียดสูง
✅ 2. เครื่องวัดความชื้นแบบอินฟราเรด (Moisture Analyzer)
-
ใช้หลอดฮาโลเจนหรืออินฟราเรดให้ความร้อน
-
เครื่องชั่งในตัวจะวัดน้ำหนักขณะอบอย่างต่อเนื่อง
-
คำนวณค่า % Moisture ได้ทันที
ข้อดี:
-
วิเคราะห์ไว (5–15 นาที)
-
แม่นยำสูง
-
เหมาะกับแล็บ, QC, โรงงานผลิต
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้การวิเคราะห์ความชื้น อาหาร: เช่น ธัญพืช ผงเครื่องปรุง ขนมปัง
-
ยาและสมุนไพร: ต้องควบคุมค่าความชื้นให้ตรงตามมาตรฐาน
-
เคมี/พลาสติก: ส่งผลต่อปฏิกิริยาและคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
-
ไม้ กระดาษ: ควบคุมคุณภาพและป้องกันการขึ้นรา
เคล็ดลับในการเลือกซื้อ Moisture Analyzer
-
✅ เลือกความแม่นยำที่เหมาะกับงาน (เช่น 0.001 g สำหรับงานวิจัย)
-
✅ ตรวจสอบช่วงอุณหภูมิที่รองรับ (สูงสุดควรถึง 200°C ขึ้นไป)
-
✅ เลือกรุ่นที่มี ระบบวิเคราะห์และบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ
-
✅ ควรมีบริการหลังการขายและสอบเทียบจากผู้จัดจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ
แนะนำเครื่องวัดความชื้น (Moisture Analyzer) ยอดนิยม
ยี่ห้อ รุ่นแนะนำ จุดเด่น เหมาะกับ Ohaus MB90 / MB120 หน้าจอสัมผัส ใช้งานง่าย วิเคราะห์รวดเร็ว แล็บ, โรงงาน QC Radwag MA.R / MA.X ความแม่นยำสูง รองรับตัวอย่างหลากหลาย อุตสาหกรรมอาหารและยา Sartorius MA37 แม่นยำ เชื่อถือได้ในงานวิเคราะห์ ห้องแล็บวิจัย Precisa XM60 ฟังก์ชันหลากหลาย ราคาคุ้มค่า โรงงานขนาดเล็ก–กลาง
วิธีดูแลเครื่องวัดความชื้น
-
ทำความสะอาดถาดตัวอย่างทุกครั้งหลังใช้งาน
-
หลีกเลี่ยงการใส่ตัวอย่างที่มีน้ำมันหรือน้ำตาลสูง (อาจไหม้)
-
สอบเทียบตามกำหนดทุก 6–12 เดือน
-
ไม่ควรวางเครื่องใกล้พัดลมหรือพื้นที่สั่นสะเทือน
จำหน่ายเครื่องวัดความชื้น พร้อมใบรับรองสอบเทียบ
เราจำหน่ายเครื่องวัดความชื้น Ohaus, Radwag, Sartorius และแบรนด์ชั้นนำ
✔️ พร้อมบริการหลังการขาย
✔️ มีใบสอบเทียบ (Certificate)
✔️ ส่งฟรีทั่วไทย พร้อมคู่มือภาษาไทย