เครื่องฟอกอากาศ Air Purifier
Tags: เครื่องฟอกอากาศ, ฝุ่นpm, pm25, เครื่องวัดฝุ่น, พีเอ็ม25, เครื่องฟอกอากาศราคาถูก, เครื่องฟอกอากาศดีที่สุด, เครื่องฟอกอากาศชาร์ป, เครื่องฟอกอากาศsharp, air purifier sharp, sharp plasma cluster
ระบบการทำงานเครื่องฟอกอากาศ
แม้ในตอนนี้เครื่องฟอกอากาศจะมีการเพิ่มฟังก์ชันเข้าไปมากมาย แต่สามารถแบ่งระบบการทำงานของเครื่องฟอกอากาศออกได้ 5 ระบบหลัก ๆ ตามการทำงาน ดังนี้
1. Air filters
Air Filter หรือแผ่นกรองอากาศ ระบบดักจับฝุ่นละออง แบคทีเรีย ไวรัส หรือสารต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ มีทั้งประเภทที่ทำจากกระดาษ เส้นใย ตาข่าย แต่แบบที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบันคือแผ่นกรองอากาศแบบ HEPA หรือ High Efficiency Particulate Air ประเภทแผ่นกรองที่ผลิตจากเส้นใยไฟเบอร์กลาส ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ดักจับอนุภาคที่มีขนาดเล็กอย่างน้อย 0.3 ไมครอน และมีประสิทธิภาพในการดักจับได้ไม่น้อยกว่า 99.97% อายุเฉลี่ยการใช้งานอยู่ที่ 3-5 ปี
2. Electrostatic Precipitator
Electrostatic Precipitator ระบบกรองอากาศที่ทำงานโดยใช้หลักไฟฟ้าสถิต ด้วยการปล่อยประจุไฟฟ้าลบออกมาจับฝุ่นนละอองหรืออนุภาคขนาดเล็กที่เป็นประจุบวกให้เป็นกลุ่มก้อน เพื่อทำให้มีน้ำหนักมากขึ้นแล้วตกลงสู่พื้น ไม่ลอยฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ
3. Gas-phase air filters
Gas-phase air filters ระบบที่มีไว้สำหรับกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ทำงานโดยการใช้สารเคมี เช่น ถ่านกัมมันต์ หรือที่เรียกกันว่า แอคทิเวเต็ด คาร์บอน (Activated Carbon) มาช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ และก๊าซพิษออกไป
4. Ozone generator
Ozone generator ระบบที่ใช้แสงยูวีหรือการปล่อยกระแสไฟฟ้าในการสร้างโอโซน เพื่อฆ่าเชื้อโรค สารเคมี รวมถึงกำจัดกลิ่นที่ปะปนมาในอากาศให้สลายไป และทำให้อากาศกลับมาสะอาดอีกครั้ง
5. UV Light
UV Light เป็นระบบที่นำรังสีอัลตราไวโอเลตมาใช้ในการกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ อาทิ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือสารอื่น ๆ ในอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ
1. ขนาดห้อง
เลือกขนาดของเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับห้องหรือพื้นที่ที่จะติดตั้ง เพราะเครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่นมีประสิทธิภาพในการทำงานครอบคลุมพื้นที่ที่แตกต่างกัน เช่น ถ้าเราซื้อเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็ก แต่เอาไปวางไว้ในห้องขนาดใหญ่ ก็จะทำให้เครื่องฟอกอากาศทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากนำเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ไปวางไว้ในห้องเล็ก ๆ ก็จะทำให้เปลืองไฟ
2. ราคา
ไม่ใช่แค่เพียงราคาของตัวเครื่องฟอกอากาศเท่านั้น แต่เรายังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนตัวกรองหรือไส้กรองของเครื่องฟอกอากาศอีกด้วย เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศทุกชนิดจะต้องมีการเปลี่ยนตัวกรองหรือไส้กรองอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ระบบต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นก่อนจะซื้อเครื่องฟอกอากาศจึงควรดูราคาของแผ่นกรองและการบำรุงรักษาส่วนอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย
3. ระบบการทำงาน
สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ต้องดูก่อนซื้อเครื่องฟอกอากาศคือ ระบบการทำงาน ว่ามีคุณสมบัติและตอบโจทย์และตรงกับความต้องการการใช้งานของเราหรือไม่ รวมไปถึงความจำเป็นในการใช้ฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ ที่มากกว่าแค่การกรองอากาศหรือกำจัดกลิ่น เช่น เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ, ตัวระบุการเปลี่ยนแผ่นกรอง, ตัวควบคุมความเร็ว และรีโมตสั่งการ ก็ยังถือเป็นคุณสมบัติที่เราควรนำมาพิจารณาด้วยเหมือนกัน เพราะเป็นส่วนที่มีผลทำให้แต่ละเครื่องแต่ละแบรนด์มีราคาแตกต่างกัน
4. ค่า Airflow
ค่า Airflow หรือตัววัดความเร็วลม จากปริมาณของอากาศที่ถูกดูดเข้าไปและเวลาในการปล่อยอากาศออกมาจากเครื่องฟอกอากาศ หากเครื่องฟอกอากาศมีค่า Airflow สูงก็หมายความว่า เครื่องฟอกอากาศรุ่นนั้นมีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศได้เร็วนั่นเอง
5. ค่า CADR
ค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) หรืออัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ต่อนาที ซึ่งเป็นค่าสากลที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ยิ่งมีค่า CADR สูงมากเท่าไร ก็แสดงให้เห็นว่าเครื่องฟอกอากาศมีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นเท่านั้น
6. ระดับเสียง
ระดับเสียงการทำงานของเครื่องฟอกอากาศก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม โดยเครื่องฟอกอากาศที่ดีควรมีระดับเสียงต่ำขณะเครื่องทำงาน เพื่อป้องกันการรบกวนขณะกำลังพักผ่อน ระดับเสียงที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 30-31 เดซิเบล
7. การประหยัดไฟ
เครื่องฟอกอากาศจะกินไฟหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับแผ่นกรอง หากเป็นแผ่นกรองที่มีความหนาแน่นมาก อากาศผ่านได้น้อย ก็จะทำให้เครื่องใช้ไฟมาก ฉะนั้นควรเลือกแผ่นกรองที่มีอากาศไหลผ่านได้ดี เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าในการทำงาน นอกจากนี้ยังสามารถเปรียบเทียบค่าไฟได้จากฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จากหลาย ๆ รุ่นมาประกอบในการตัดสินใจ